วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หนังแบบนี้เค้าเรียกว่าหนังจีน?

สวัสดีครับ วันนี้มาต่อเลย ขอเริ่มตั้งแต่การได้รู้จักหนังจีนครั้งแรก ก็ต้องท้าวความเริ่มไปจากคำว่า"หนัง" สำหรับผมก่อน และความสงสัยตอนที่ได้ดูทีวีครั้งแรก ทำไมมันถึงมีภาพคนเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น ในสมัยผมเป็นเด็กส่วนใหญ่แล้วจะยังไม่มีทีวี ที่มีก็จะ

ทีวีเก่า ทีวีขาวดำ grundig กุนดิค
ทีวีเก่า ทีวีขาวดำ grundig กุนดิค

เป็นทีวีขาวดำ (ภาพขาว-ดำ) ยังไม่มีสี และโครตหนักมากครับ (อธิบายในรูปหน่อยนึง เมื่อก่อนทีวีเยอรมันนี่ดีกว่าฟิลิปนะผู้ใหญ่เค้าบอกมา เค้าว่าความคมชัด แลมีมิติ ความดำแยกได้หลายระดับ ไม่ค่อยมีสัญญาณรบกวน แต่ที่ผมสัมผัสนั่นคือเรื่องจริงครับ แต่เหนื่อกว่านั้นคือจูนหาคลื่นสถานีทีเมื่อยมือมาก เวลาเปลี่ยนช่องก็ไม่ทันใจต้องบิดเปลี่ยนช่องเอา ทำมากๆลูกบิกหักคามือเลยครับ ซวย!!! แล้วพอภาพมันล้มก็ต้องมีทุบมีเคาะกัน สนุกสนาน คนไหนมีสถิติการเคาะแล้วภาพกลับมาจะได้รับเกียรติเป็นประธานผู้ได้เคาะก่อนคนอื่นทุกครั้งครับ )และแพงมากเสียด้วย ขนาดบ้านผมอยู่กรุงเทพนะทั้งซอยยังไม่มีใครมี แต่ถ้าบ้านที่ต่างจังหวัดจะมีบ้านของผู้ใหญ่บ้านที่มีเท่านั้น!!! การรับฟังข่าวสารก็มาจากวิทยุหนังสือพิมพ์ ถ้าเป็นวารสารนี่ต้องว่ากันเป็นรายเดือน รายปักษ์ครับ ประมาณว่า ดาราคนนี้ตาย กว่าผมจะรู้ข่าวอีกทีเค้าฝังเสร็จ-เผาเสร็จกันไปแล้วก็ตาม การที่ได้ดูหนังหรือเห็นภาพยนต์ครั้งแรกคือได้ดูจากหนังกลางแปลงรุ่นของผมเค้ายังพาทย์สดๆกันอยู่ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของผู้รับจ้างแต่ละรายครับ  ก็ตลกดี บางทีก็พาทยืชื่อเป็นคนไทยก็มี อย่างสมชาย สมร อะไรอย่างนี้

บรรยากาศดูหนังกลางแปลงสมัยก่อน
บรรยากาศดูหนังกลางแปลงสมัยก่อน



หนังที่ได้ดูช่วงแรกๆก็จะเป็นหนังไทยครับ อย่างพระเอกก็คุณสรพงษ์ ชาตรี  คุณสมบัติ เมทะนี ส่วนดาวร้ายยอดนิยมก็คงต้องเป็นคุณกรุง ศรีวิไล ดาราหญิงก็คุณเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ คุณจารุณี สุขสวัสดิ์หนังจะเป็นฉากบู๊ซะส่วนใหญ่

กรุง ศรีวิไล
กรุง ศรีวิไล

สมบัติ เมทะนี
สมบัติ เมทะนี

สรพงษ์ ชาตรี
สรพงษ์ ชาตรี


เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์
เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์


จารุณี สุขสวัสดิ์
จารุณี สุขสวัสดิ์


 และจะมีฉากวับๆแวมๆให้เห็น พอถึงฉากนั้นทีไรถ้าผู้ใหญ่อยู่ด้วย จะให้ปิดตาไม่ให้ดู ก็ต้องเอามือปิดตาหลับตาปี๋เลยครับ



ฉากอีโรติค ฉากวับๆแวมๆในสมัยก่อน
ฉากอีโรติค ฉากวับๆแวมๆในสมัยก่อน

 ครั้งแรกที่ได้ดูหนังจีนที่ฉายทางหนังกลางแปลงก็น่าจะเป็นมังกรหยก ภาค 5 ตอน เอี้ยก้วยกับเซียวเล่งนึ่ง ที่เลสลี่จาง เล่นเป็นเอี้ยกวย ที่ศาลเจ้าแถวบ้านเอามาฉาย เนื้้อเรื่องไม่รู้เรื่องหรอกบอกตรงๆนะ แต่ชอบเสื้อผ้า กับท่าการต่อสู้มาก เพราะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพราะสรพงษ์ ชาตรีทำไม่ได้ 

มังกรหยก ภาค 5 ตอน เอี้ยก้วยกับเซียวเล่งนึ่ง
มังกรหยก ภาค 5 ฉากเอี้ยก้วยขี่พี่นกยักษ์

มังกรหยก ภาค 5 ตอน เอี้ยก้วยกับเซียวเล่งนึ่ง
มังกรหยก ภาค 5 ตอน ฉากที่กำลังต่อสู่กับลามะจักรทอง

มังกรหยก ภาค 5 ตอน เอี้ยก้วยกับเซียวเล่งนึ่ง
มังกรหยก ภาค 5 ลามะจักรทอง ตาย!!!!


555+ ขี่นกยักษ์ได้ มีเหาะลงมาแทงได้ด้วย พระเจ้า!!! บังคับกงจักรบินไปสู้ได้อีก แต่ภาพมันติดตามาก พอดูเสร็จก็อยากดูต่อมาก ตามประสาเด็กละเนอะ พอดูเสร็จก้ต้องเข้าบ้านครับ เนื่องจากเค้าฉายหยังกลางแปลงในซอย ฉะนั้นแค่เปิดประตูบ้าน แล้วเอาเก้าอี้ไปตั้งหน้าบ้านก้มองเห็นแล้วครับ ใครไม่จุใจก็ไปนั่งหน้าชิดขอบจอได้เลย แต่แอบหงุดหงินนะที่ชอบมีเงาหัวคนเดินผ่านตอนกำลังดูเพลินๆติดลม ซึ่งผมก็ดูไม่ชัดเท่าไหร่อยู่แล้วเจอแบบนี้เซ็ง เออ..ขอเล่าอีกนิดนะ สมัยก่อนนี่ผู้ใหญ่เลี้ยงดูเด็กได้เฮี๊ยบและเข้มงวดมาก ต่างกลับสมัยนี้และที่น่าตกใจกว่าคือ ผู้ใหญ่ก็เคยพูดแบบที่ผมพูดตอนนี้เลยว่าสมัยเค้าถูกเคี่ยวเข็ญสั่งสอนมามากกว่ารุ่นผมอีกมาก สงสัยว่าคนสมัยก่อนเค้าฝึกลูกหลานให้เป็นทหารรึเปล่าครับ ไม่น่าจะใช่เนอะเค้าคงหวังดีจริงแหละ เพราะมีหลายครั้งต้องเกิดเหตุการณืที่ทำให้นึกถึงคำสั่งสอนในอดีตอยู่หลายครั้ง ซึ่งคิดว่าหากไม่เคยได้รับการสั่งสอนมาก่อนคงพลาด และทำอะไรผิดพลาดหลายครั้งเลยทีเดียว ถ้ายังไงในยุคนี้ก็ขอให้สั่งสอนลูกหลานกันพอดีตามยุคตามสมัย อย่างมีหลักการและเหตุผลทำให้เด็กเข้าใจได้ถูกต้องด้วยตัวเองได้ นั่นคือสิ่งที่ควรกระทำครับผม เออ.กลับเข้าเรื่องดีกว่า ผมเดานะว่าหลายๆคนที่เกิดทันยุคเดียวกับผม จะต้องเคยหาอะไรมาตกแต่งตัวเองเป็นจอมยุทธกันเกือบทุกคน ที่หาง่ายๆก็ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขาวม้า และพวกกระบี่พลาสติก ดาบพลาสติกที่ออกมามากมาย บางอันกลัวไม่รู้ครับต้องพิมพ์ระบุชื่อด้วย อย่าง"กระบี่มังกรหยก" "ดาบวงพระจั้นทร์" เคยได้ครั้งนึงที่ต่างจังหวัดเป็นมีดเล่มน้อยน่าจะพอๆกับมีดปลอกผลไม้ครับ มีพิมพ์ว่า "ลี้น้อยมีดบิน" ซึ่งคงมาจากหนังเรื่องฤทธิมีดสั้น ลี้คิมฮวง โดยไม่ต้องสงสัย 


กระบี่ของเล่น กระบี่จอมยุทธพลาสติก
กระบี่ของเล่น กระบี่จอมยุทธพลาสติก

ดาบวงพระจันทร์
ดาบวงพระจันทร์



ก็อย่างที่บอกว่าไตอนเด็กไม่เคยได้รับอนุญาติให้ไปเล่นกับใครนอกบ้าน หากมีเวลาตอนที่ไม่ใครอยู่บ้านก็จะไปเอาไม้ที่เค้าเอาไว้ใช้ตีผมนี่แหละ เอามาฝึกกระบี่ ตีที่หมอนบ้าง เอาไว้ระบายความมันส์ได้ดีจริงๆครับ จนได้มีโอกาสได้ไปตลาดนัดนี่แหละถึงได้ซื้อมาเล่มแรกนี่กระบี่แดงครับ ถือคติ จะถูกจะแพงเลือกสีแดงไว้ก่อน ประมาณนั้น 


ตลาดนัดสมัยก่อน ถ่ายแถวสนามหลวง
ตลาดนัดสมัยก่อน ถ่ายแถวสนามหลวง


เอาหละ วันนี้ขอเล่าแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวครั้งหน้าจะมาเล่าเกี่ยวกับอะไรอีกค่อยว่ากันอีกทีครับ ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านคนเพ้อเจ้อ เล่าความหลังคนนี้ มีความสุขทุกคนนะครับ ขอบคุณมากครับ

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เริ่มต้นสู่ยุทธภพ..วัยเด็กจอมยุทธน้อยไร้นาม

เริ่มต้นสู่ยุทธภพ..วัยเด็กจอมยุทธน้อยไร้นาม

สวัสดีครับผม กระผมจอมยุทธน้อยเจิ้งเหวินอู่นะ ชื่อนี้เป็นชื่อจีนของผมจริงๆที่อาม่าตั้งให้ ผมเป็นลูกครึ่งจีน-ไทยครับ อากงอาม่าข้ามน้ำข้ามทะเลมาอาศัยอยู่ที่นี่ใต้ร่มพระบารมีของราชวงศ์จักรี ฉะนั้นยุทธภพของผมก็คงต้องเริ่มนับจากยุครางชวงศ์นี้แหละครับ ถ้านับแล้วผมเป็นรุ่นที่3ครับ อยุ่ระหว่างการคาบเกี่ยวของความสบายและลำบาก ที่อาป๊าอาม๊าอากงอาเจ็กอาอึ้มทั้งหลาย กำลังก่อร่างสร้างตัวขยับขยายวงศาคณาญาติ ทำให้ชีวิตผมในวัยเด็กถือว่าสบายเมื่อเทียบกับรุ่นอาม่ากับอาป๊า แต่ถือว่าลำบากในช่วงเด็กวัยเดียวกัน แต่ถามว่าเป็นยังไง ผมย้อนกลับไปคิดดู ผมว่านอกจากที่ต้องตื่นเช้าตี5 แล้วไม่ได้เล่นกับเพื่อนในวัยเด็กรุ่นเดียวกัน ก็ถือว่าไม่ได้แย่เท่าไหร่ ชีวิตวันเด็กถือว่าหาย..ไป8ปี รู้ตัวอีกทีก็เหมือนกันว่าโตแล้ว ต้องเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ก็คงไม่เล่าว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่ก็ถือว่าดีครับได้ฝึกฝนให้ช่วยตัวเองและไม่ย่อท้อต่อความลำบากเหมือนพวกจอมยุทธในหนังจีนมั้ยละครับ ก็ต้องเริ่มจากงานพวกนี้ก่อน พอมาถึงตรงนี้แล้วทำให้นึกถึงหลายสิ่งหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป บางอย่างตรงข้ามกับสิ่งที่ตั้งใจไว้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนคือ ชอบความเป็นอิสระ และรักเสรี อยากเป็นจอมยุทธที่พอมีฝีมือแล้วท่องเที่ยวไปทุกหนแห่ง ไม่ต้องทำงาน แต่มีเงินใช้ แล้วมีโอกาสก็ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ตอนนี้ขาดแค่เงินครับ ผมคงต้องพยายามหาเงินจากทุกๆทางเพื่อเก็บไว้ในธนาคารไว้ใช้ให้พอตลอดชีวิตของผม ถ้าเป็นหนังจีนนี่ก็คงต้องเก็บเงินเอาไว้ในร้านตั๋วแลกเงินใช่มั้ยละ? เนื่องจากว่าช่วงก่อนวัยเข้าเรียน(ประมาณ7ขวบ) ต้องอยู่บ้านช่วยทำงานลูกเดียว ไม่ได้ออกไปไหน ทั้งๆที่ผมอยากออกไปมาก อยากออกไปเที่ยวทะเล เที่ยวน้ำตก แต่ได้ไปไกลสุดคือปากซอยกับตลาดนัด พอได้ดูหนังกับการ์ตูน ทำให้ผมนั่งคิดเป็นตัวละครเรื่องนั้นๆตามแต่จินตนาการก็สนุกดีครับ บางทีเผลอคิดไปว่านั่นเป็นเรื่องจริงซะด้วยซ้ำ  บ้านผมจะเปิดวิทยุไว้ทั้งวันขาดไม่ได้เลย เพื่อฟังนิยายรัก หรือไม่ก็นิยายผี ส่วนทีวีไม่ได้มีฉายกัน24ชั่วโมง มี100ช่องอย่างทุกวันนี้นะ ต้องติดตามตารางออกอากาศกัน พอหลังๆฐานะทางบ้านดีขึ้น ก็เริ่มมีการซื้อเครื่องเล่นวีดีโอมา สมัยก่อนใครยังไม่มีปัญญาก็ต้องไปเช่ามาครับ แล้วก็เช่า


เครื่องเล่นวีดีโอเทปเก่า เนชั่นแนล
เครื่องเล่นวีดีโอเทปเก่า เนชั่นแนล



หนังจีนชุดมาดูล่วงหน้าไม่ต้องรอ ไม่ต้องคอยแบบก่อน ดูหนังยังไม่หนำใจ มีไปซื้อนิตยาสารจีนมาด้วย ในหนังก็จะมีสกู๊ปพิเศษของดารามากมาย


นิตยาสารสมัยก่อน รวมดาราจีน ดาวทีวี
นิตยาสารสมัยก่อน รวมดาราจีน ดาวทีวี



 ตอนนั้นนี่ ฉีเส้าเฉียน เป็นขวัญใจผมเลยถ้าเป็นหนังจอแก้วนะ แต่ถ้าเป็นหนังกลางแปลงที่จะได้มีโอกาสได้ดูก็ตอนที่มีเทศกาลไหว้ศาลเจ้าประจำหมู่บ้านปีละครั้ง ก็ต้องเป็นเดวิดเจียงกับตี้หลุงครับ



ตี้หลุง กับ เดวิด เจียง สองดาราอมตะ
ตี้หลุง กับ เดวิด เจียง สองดาราอมตะ


 ผมว่า2คนนี้อาภัพนะ เป็นพระเอกอะไร..ได้บทตายเกือบทุกเรื่องครับ ตายอนาถตามแบบหนังบู๊เลย ตอนแรกดูแล้วอยากเป็นพระเอกนะ พอเห็นตอนจบเท่านั้นแหละไปเป็นเพื่อนพระเอกดีกว่า 555+ อืม...แล้วอีกอย่างจะชอบมาตอนที่ญาติมาที่บ้าน เพราะจะเอาของกินอร่อยๆมาฝากเสมอของดีดีทั้งนั้น อย่างขาหมูต้มกันเป็นหม้อSIZE ใหญ่ เป็ดย่างที่อร่อยกว่าMK อาหารทะเลต่างๆมาเพียบ  แล้วได้เจอลูกพี่ลูกน้องด้วย ซึ่งก็ได้มีการปะเพลงดาบเพลงกระบี่กันเล็กน้อย มีครั้งนึงจำไม่ได้ดูเรื่องอะไรมีฉากกระโดดลงมาพร้อมจ้วงกระบี่ ผมก็ทำมั่งครับในความคิดแว๊บนั้น....เฮ้ย โครตเหมือน ..แต่แป๊บเดียวพอสัมผัสพื้นปูน ขาหักซิครับ ตอนแรกไม่กล้าบอกผู้ใหญ่ด้วย บ้านผมนี่ตีไว้ก่อนครับ ออกแนวสำนักฝ่ายมารนิดๆ แล้วก็พาไปรักษา ตั้งแต่นั้นมาไม่เอาอีกแล้ว ทีเดียวสำหรับผมก็เกินพอ เอาเป็นว่าเรารู้จักกันคร่าวๆแค่นี้นะครับ เดี๋ยวจะค่อยๆหาข้อมูลแล้วเล่าความหลังกันอีกที ในบทความในตอนต่อไป