ทีวีเก่า ทีวีขาวดำ grundig กุนดิค |
เป็นทีวีขาวดำ (ภาพขาว-ดำ) ยังไม่มีสี และโครตหนักมากครับ (อธิบายในรูปหน่อยนึง เมื่อก่อนทีวีเยอรมันนี่ดีกว่าฟิลิปนะผู้ใหญ่เค้าบอกมา เค้าว่าความคมชัด แลมีมิติ ความดำแยกได้หลายระดับ ไม่ค่อยมีสัญญาณรบกวน แต่ที่ผมสัมผัสนั่นคือเรื่องจริงครับ แต่เหนื่อกว่านั้นคือจูนหาคลื่นสถานีทีเมื่อยมือมาก เวลาเปลี่ยนช่องก็ไม่ทันใจต้องบิดเปลี่ยนช่องเอา ทำมากๆลูกบิกหักคามือเลยครับ ซวย!!! แล้วพอภาพมันล้มก็ต้องมีทุบมีเคาะกัน สนุกสนาน คนไหนมีสถิติการเคาะแล้วภาพกลับมาจะได้รับเกียรติเป็นประธานผู้ได้เคาะก่อนคนอื่นทุกครั้งครับ )และแพงมากเสียด้วย ขนาดบ้านผมอยู่กรุงเทพนะทั้งซอยยังไม่มีใครมี แต่ถ้าบ้านที่ต่างจังหวัดจะมีบ้านของผู้ใหญ่บ้านที่มีเท่านั้น!!! การรับฟังข่าวสารก็มาจากวิทยุหนังสือพิมพ์ ถ้าเป็นวารสารนี่ต้องว่ากันเป็นรายเดือน รายปักษ์ครับ ประมาณว่า ดาราคนนี้ตาย กว่าผมจะรู้ข่าวอีกทีเค้าฝังเสร็จ-เผาเสร็จกันไปแล้วก็ตาม การที่ได้ดูหนังหรือเห็นภาพยนต์ครั้งแรกคือได้ดูจากหนังกลางแปลงรุ่นของผมเค้ายังพาทย์สดๆกันอยู่ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของผู้รับจ้างแต่ละรายครับ ก็ตลกดี บางทีก็พาทยืชื่อเป็นคนไทยก็มี อย่างสมชาย สมร อะไรอย่างนี้
บรรยากาศดูหนังกลางแปลงสมัยก่อน |
หนังที่ได้ดูช่วงแรกๆก็จะเป็นหนังไทยครับ อย่างพระเอกก็คุณสรพงษ์ ชาตรี คุณสมบัติ เมทะนี ส่วนดาวร้ายยอดนิยมก็คงต้องเป็นคุณกรุง ศรีวิไล ดาราหญิงก็คุณเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ คุณจารุณี สุขสวัสดิ์หนังจะเป็นฉากบู๊ซะส่วนใหญ่
กรุง ศรีวิไล |
สมบัติ เมทะนี |
สรพงษ์ ชาตรี |
เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ |
จารุณี สุขสวัสดิ์ |
และจะมีฉากวับๆแวมๆให้เห็น พอถึงฉากนั้นทีไรถ้าผู้ใหญ่อยู่ด้วย จะให้ปิดตาไม่ให้ดู ก็ต้องเอามือปิดตาหลับตาปี๋เลยครับ
ฉากอีโรติค ฉากวับๆแวมๆในสมัยก่อน |
ครั้งแรกที่ได้ดูหนังจีนที่ฉายทางหนังกลางแปลงก็น่าจะเป็นมังกรหยก ภาค 5 ตอน เอี้ยก้วยกับเซียวเล่งนึ่ง ที่เลสลี่จาง เล่นเป็นเอี้ยก้วย ที่ศาลเจ้าแถวบ้านเอามาฉาย เนื้้อเรื่องไม่รู้เรื่องหรอกบอกตรงๆนะ แต่ชอบเสื้อผ้า กับท่าการต่อสู้มาก เพราะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพราะสรพงษ์ ชาตรีทำไม่ได้
มังกรหยก ภาค 5 ฉากเอี้ยก้วยขี่พี่นกยักษ์ |
มังกรหยก ภาค 5 ตอน ฉากที่กำลังต่อสู่กับลามะจักรทอง |
มังกรหยก ภาค 5 ลามะจักรทอง ตาย!!!! |
555+ ขี่นกยักษ์ได้ มีเหาะลงมาแทงได้ด้วย พระเจ้า!!! บังคับกงจักรบินไปสู้ได้อีก แต่ภาพมันติดตามาก พอดูเสร็จก็อยากดูต่อมาก ตามประสาเด็กละเนอะ พอดูเสร็จก้ต้องเข้าบ้านครับ เนื่องจากเค้าฉายหยังกลางแปลงในซอย ฉะนั้นแค่เปิดประตูบ้าน แล้วเอาเก้าอี้ไปตั้งหน้าบ้านก้มองเห็นแล้วครับ ใครไม่จุใจก็ไปนั่งหน้าชิดขอบจอได้เลย แต่แอบหงุดหงินนะที่ชอบมีเงาหัวคนเดินผ่านตอนกำลังดูเพลินๆติดลม ซึ่งผมก็ดูไม่ชัดเท่าไหร่อยู่แล้วเจอแบบนี้เซ็ง เออ..ขอเล่าอีกนิดนะ สมัยก่อนนี่ผู้ใหญ่เลี้ยงดูเด็กได้เฮี๊ยบและเข้มงวดมาก ต่างกลับสมัยนี้และที่น่าตกใจกว่าคือ ผู้ใหญ่ก็เคยพูดแบบที่ผมพูดตอนนี้เลยว่าสมัยเค้าถูกเคี่ยวเข็ญสั่งสอนมามากกว่ารุ่นผมอีกมาก สงสัยว่าคนสมัยก่อนเค้าฝึกลูกหลานให้เป็นทหารรึเปล่าครับ ไม่น่าจะใช่เนอะเค้าคงหวังดีจริงแหละ เพราะมีหลายครั้งต้องเกิดเหตุการณืที่ทำให้นึกถึงคำสั่งสอนในอดีตอยู่หลายครั้ง ซึ่งคิดว่าหากไม่เคยได้รับการสั่งสอนมาก่อนคงพลาด และทำอะไรผิดพลาดหลายครั้งเลยทีเดียว ถ้ายังไงในยุคนี้ก็ขอให้สั่งสอนลูกหลานกันพอดีตามยุคตามสมัย อย่างมีหลักการและเหตุผลทำให้เด็กเข้าใจได้ถูกต้องด้วยตัวเองได้ นั่นคือสิ่งที่ควรกระทำครับผม เออ.กลับเข้าเรื่องดีกว่า ผมเดานะว่าหลายๆคนที่เกิดทันยุคเดียวกับผม จะต้องเคยหาอะไรมาตกแต่งตัวเองเป็นจอมยุทธกันเกือบทุกคน ที่หาง่ายๆก็ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขาวม้า และพวกกระบี่พลาสติก ดาบพลาสติกที่ออกมามากมาย บางอันกลัวไม่รู้ครับต้องพิมพ์ระบุชื่อด้วย อย่าง"กระบี่มังกรหยก" "ดาบวงพระจั้นทร์" เคยได้ครั้งนึงที่ต่างจังหวัดเป็นมีดเล่มน้อยน่าจะพอๆกับมีดปลอกผลไม้ครับ มีพิมพ์ว่า "ลี้น้อยมีดบิน" ซึ่งคงมาจากหนังเรื่องฤทธิมีดสั้น ลี้คิมฮวง โดยไม่ต้องสงสัย
กระบี่ของเล่น กระบี่จอมยุทธพลาสติก |
ดาบวงพระจันทร์ |
ก็อย่างที่บอกว่าไตอนเด็กไม่เคยได้รับอนุญาติให้ไปเล่นกับใครนอกบ้าน หากมีเวลาตอนที่ไม่ใครอยู่บ้านก็จะไปเอาไม้ที่เค้าเอาไว้ใช้ตีผมนี่แหละ เอามาฝึกกระบี่ ตีที่หมอนบ้าง เอาไว้ระบายความมันส์ได้ดีจริงๆครับ จนได้มีโอกาสได้ไปตลาดนัดนี่แหละถึงได้ซื้อมาเล่มแรกนี่กระบี่แดงครับ ถือคติ จะถูกจะแพงเลือกสีแดงไว้ก่อน ประมาณนั้น
ตลาดนัดสมัยก่อน ถ่ายแถวสนามหลวง |
เอาหละ วันนี้ขอเล่าแค่นี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวครั้งหน้าจะมาเล่าเกี่ยวกับอะไรอีกค่อยว่ากันอีกทีครับ ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านคนเพ้อเจ้อ เล่าความหลังคนนี้ มีความสุขทุกคนนะครับ ขอบคุณมากครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น